-
แนะนำตัวหน่อยค่ะ ชื่ออะไรจ๊ะ
ชื่อถาวร เพชรโลหะกุล เรียกผมว่า ไฮ่ ได้ครับ จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ เอกจิตวิทยา
- ท่าทางเชี่ยว (ภาษาจีน) ขนาดนี้ท่าทางจะเรียนมานานแล้วนะ
เรียนที่ไหนมาบ้างคะ
แรกเริ่มเลยไปเรียนที่ไต้หวัน มหาวิทยาลัยการปกครองของไต้หวัน (National
Zhengzhi University) ประมาณ 6 เดือน แล้วต่อมาย้ายที่เมืองซีอาน ประเทศจีน
(Shaanxi Normal University) เป็นหลักสูตรภาษาจีนตัวต่อตัว ประมาณ
3 เดือนครับ ตอนนี้อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ (Shanghai University of Finance
and Economics) ที่เลือกมาที่นี่เพราะสนใจจะต่อปริญญาโท ทางด้านธุรกิจครับ
- ช่วยเปรียบเทียบ 2 ประเทศนี้ในความเห็นของไฮ่ให้ฟังหน่อยสิคะ
ด้านไหนครับ
- ด้านไหนเหรอ .. เอาโดยรวมได้มั้ยคะ
??
งั้นด้านความเป็นอยู่ก่อนแล้วกัน ตอนอยู่ที่ไต้หวัน ผมต้องหาบ้านเช่าเอง
แต่ได้ทำเลบ้านที่ดี ไม่ไกลจากที่เรียน พอขี่จักรยานไปเรียนได้รวมทั้งเจ้าของบ้านก้อนิสัยน่ารักด้วยครับ
ค่าเช่าบ้านก้อประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน ไม่รวมค่าไฟ เป็นแบบห้องน้ำรวม
นับว่าความเป็นอยู่ที่ไต้หวันค่อนข้างสะดวกสบายครับ ปรับตัวซักนิดหน่อยก็ไม่เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่แล้ว
เพราะชีวิตความเป็นอยู่ ค่อนข้างคล้ายบ้านเรา อาหารถึงแม้ว่าราคาจะแพง
แต่อร่อยและอิ่มครับ แต่มีข้อเสียตรงที่ว่า ไต้หวันมักเจอพายุบ่อย
ในช่วงที่ผมอยู่ก็เจอไปสามลูกใหญ่ๆ แล้วก็เจอแผ่นดินไหวอีกเล็กน้อยครับ
- แล้วประทับใจอะไรในไต้หวันบ้างคะ
ในส่วนตัวผม ผมประทับใจคนครับ เพราะคนไต้หวันใจดี เป็นมิตรง่าย ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับคนจีน
ในสายตาผมคนจีนเป็นคนค่อนข้างโผงผาง ตรงไปตรงมา เสียงดัง ซึ่งบางครั้งดูภายนอกอาจจะดูเหมือนไม่เป็นมิตร
แต่ก็ไม่แน่เสมอไป
- แล้วความเป็นอยู่ในประเทศจีนหล่ะ
ส่วนความเป็นอยู่ในเมืองจีน ผมอาศัยอยู่ในหอพักนักศึกษาต่างชาติที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ไห้ครับ
ค่าที่พักพอ ๆ กันครับ (ข้อมูลเพิ่มเติมจาก OREN : ค่าที่พักที่ Shaanxi
Normal University วันละ 5USD เป็นที่พักแบบห้องคู่ แอร์ ห้องน้ำส่วนตัว
ส่วนที่ Shanghai University of Finance and Economics วันละ 4.5USD
เป็นที่พักแบบห้องคู่ แอร์ ห้องน้ำส่วนตัว ไม่รวมค่าไฟ) อยู่ราว ๆ
6,000 บาท ผมรู้สึกว่าที่เมืองจีนได้บรรยากาศของความเป็นจีนดี คือ
คนจีน นักศึกษาจีนเต็มไปหมด ออกไปทานข้าวที่โรงอาหาร ซื้อของ ต่อราคา
และมีโอกาสได้เพื่อนนักศึกษาจีน เลยมีโอกาสได้ใช้ภาษากับเจ้าของภาษาจริง
ๆ ไม่เหมือนตอนอยู่ไต้หวัน พวกเรา (นักศึกษาต่างชาติ) คบกันเอง พอเลิกเรียนเสร็จก็คบหากันเองโดยใช้ภาษาจีนคุยกันซึ่งบางครั้งภาษาจีนทั้งของเค้าและของเราต่างก็ไม่แข็งทั้งคู่จึงทำให้การฝึกใช้ภาษาได้ไม่เต็มที่
คือ การได้ฝึกภาษาจีนกับคนต่างชาติด้วยกัน ก็ไม่มีทางเหมือนกับที่เราได้ฝึกใช้กับคนจีนจริง
ๆ ผมว่าตรงจุดนี้สำคัญมากนะ เรื่องการได้ฝึกใช้ภาษานอกห้องเรียนกับเจ้าของภาษา
แต่บางคนไม่ให้ความสนใจ น่าเสียดาย
- เห็นพูดให้ฟังแต่ค่าครองชีพแล้วเรื่องการเรียนกับค่าเรียนหล่ะคะ
ในเรื่องค่าเรียนของทั้ง 2 ประเทศ (ไต้หวันและเมืองจีน) พอพอกันครับ
แต่ในความคิดผม ผมว่าหลักสูตรการเรียนการสอนที่เมืองจีนค่อนข้างดีกว่า
ตรงที่มีสื่อหลากหลายกว่า และมีการปรับปรุงหลักสูตรซึ่งค่อนข้างนำมาใช้ได้จริงในปัจจุบัน
- ถ้ามีเพื่อนถามไฮ่ว่าจะเลือกสถานที่เรียนภาษา
ไฮ่จะแนะเพื่อนว่ายังงัย
ถ้าจะให้ผมแนะนำนะ ผมว่าถ้าไม่ติดเมืองใหญ่ เลือกไปเรียน (ภาษา) ที่เมืองเล็ก
ๆ จะดีกว่า เพราะ คนไทยจะไปอยู่ตามเมืองใหญ่เยอะ และบรรยากาศเมืองใหญ่วุ่นวาย
คนมาก โดยส่วนตัวผมว่าถ้าเป็นไปได้เลือกเมืองทางตอนเหนือ ๆ ที่อยู่รอบ
ๆ ปักกิ่ง เพราะผมรู้สึกว่าสำเนียงฟังง่ายกว่า อย่างที่ผมไปอยู่ที่ซีอาน
ผมว่าคนซีอานพูดชัดนะ ฟังง่าย ความเป็นอยู่ก็อาจจะลำบากนิดหน่อยเพราะเมืองเหล่านี้อาจจะยังไม่เจริญมาก
แต่ถ้าเทียบกับความรู้ทางภาษาที่เราจะได้กลับมาแล้วก็ถือว่าคุ้มค่าครับ
- แล้วควรเรียนนานแค่ไหนคะ
ระยะเวลาเหรอครับ ผมว่าการเรียนภาษาเนี่ย ต้องใช้เวลารวมกับความตั้งใจและการฝึกฝนครับถึงจะได้ผล
เรียนเดือน สองเดือนไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่หรอกครับ ผมคิดว่าควรจะเรียนอย่างน้อยๆก็หนึ่งปี
เพราะผมว่าภาษาจีนยากกว่าภาษาอังกฤษ แล้วต้องตั้งใจ ต้องขยัน ขยันเรียน
ขยันอ่าน ขยันพูดครับ
- สรุปคือต้องขยันลูกเดี่ยวสิคะ
ครับขยันแบบเชอร์รี่งัย แล้วพี่เล่นถามผมคนเดียว เดี๋ยวเชอร์รี่งอนนะครับ
(หันไปเห็นน้องเชอร์รี่อ่านหนังสือสอบอย่างเมามันส์ พอดีช่วงที่ขอสัมภาษณ์
ตรงกับวันสอบกลางภาคของนักเรียนต่างชาติที่ Shanghai University of
Finance and Economics ขอขอบคุณนะคะที่สละเวลาอันมีค่าในการอ่านหนังสือสอบมาให้สัมภาษณ์)
- งั้นแนะนำตัวก่อนนะ
ชื่อเชอรี่ ลิมปิศิริสันต์ ค่ะ จบเอกภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยศิลปากรค่ะ
- เชอร์รี่เคยไปเรียนที่ไหนบ้างจ๊ะ
ของเชอรี่เคยไปเรียนระยะสั้น ตอนปิดเทอมใหญ่ที่คุนหมิงค่ะ (Yunnan
Univeristy) เป็นการไปโดยทางมหาวิทยาลัยส่งไป ชอบมาก ยังคิดอยากกลับไปเรียนที่นั่นอีก
ถ้ามีโอกาสและถ้าไม่ติดว่าจะเรียนโทที่นี่ค่ะ (Shanghai University
of Finance and Economics)
- ติดใจอะไรที่คุนหมิงเอ่ย
คุนหมิงอากาศดี เมืองสวย โดยเฉพาะคน รี่ชอบคนที่นี่มากเพราะเขาอัธยาศัยดี
ไม่เห็นแก่ตัว ทำอะไรให้กันด้วยความมีน้ำใจ เหมือนคนต่างจังหวัดทั่วไปนะคะ
ต่างจากที่นี่ (เซี่ยงไฮ้) และ ตอนที่ไปคุนหมิงหนาวมาก เชอร์รี่ไปช่วงเดือนตุลาคม
ถึง ธันวาคม ตอนกลับช่วงต้นเดือนธันวาคม อากาศหนาวมาก (ประมาณ 0 ถึง
-2 องศาจ้า) เห็นเหล่าซรือ (ข้อมูลเพิ่มเติม : เหล่าซรือ แปลว่า คุณครู)
ที่นั่นบอกว่าหนาวกว่าปกติมาก (ข้อมูลเพิ่มเติม : ช่วงปลายปีของประเทศจีน
เป็นช่วงฤดใบไม้ร่วง เข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยโดยปกติของคุนหมิงในเดือนนี้ประมาณ
10 3 องศาเซลเซียส)
- ทั้งสองเมืองนี้ค่าใช้จ่ายต่างกันมากมั้ยคะ
ถ้าจะเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย รี่ว่าค่าเรียนพอ ๆ กันนะ จะต่างกันตรงที่อยู่และค่าครองชีพค่ะ
(ข้อมูลเพิ่มเติม : ที่มหาวิทยาลัยยูนนานค่าเรียน 700USD ค่าที่พักวันละ
5USD เป็นประเภทห้องคู่ มีห้องรับแขก ห้องน้ำส่วนตัว)
- ช่วยพูดถึงเรื่องการเรียนให้ฟังได้มั้ยเอ่ย
การเรียนในห้องเรียนของที่คุนหมิงตอนนั้น บอกก่อนว่าเชอรี่ เรียนชั้นเรียนระดับสูงเลย
เพราะ เหล่าซรือที่เมืองไทยแนะนำมาว่าให้รี่เรียนในระดับสูงกว่าที่ตัวเองสอบได้
ให้เรียนยากขึ้นเพื่อกดดันตัวเอง จะได้ตั้งใจเรียนค่ะ (หัวเราะ) ในห้องเรียนที่รี่ไปเรียนมีแต่เพื่อต่างชาติค่ะ
เห็นความแตกต่างเลย พวกนั้นนอกจากภาษาดีมากแล้ว ยังมีความรู้ด้านอื่นอีกด้วย
เช่น บางคนรู้เกี่ยวกับด้านประวัติศาสตร์ บางคนศึกษามาเลยเกี่ยวกับวัฒนธรรม
ทำให้บรรยากาศการเรียนในห้องเรียนสนุก หลากหลาย ไม่น่าเบื่อ เพราะมีหัวข้อให้พูดเยอะ
และเกิดการแลกเปลี่ยนกัน รี่เห็นแล้วรู้สึกว่า ประเทศตะวันตก เวลาเขาเรียน
เขาจะไม่เรียนด้านเดียว เช่น ถ้าเรียนภาษาจีน ก็จะไม่ใช่เรียนแต่คำศัพท์
ไวยากรณ์ การแปลอะไรแค่นี้ เขาจะเรียนให้ลึกเลยไปถึง สังคม วัฒนธรรม
การเมือง ความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และนักเรียนบางคนสนใจในจุดไหนเพิ่ม
พวกเขาก็เรียนกันแบบวิจัยเลย รี่ว่าการเรียนแบบนี้ทำให้ผู้เรียนเข้าใจในสิ่งที่ตนเรียน
เพราะเรียนจากสิ่งที่พวกเขาสนใจค่ะ
- ท้ายสุด สุดท้ายอยากแนะนำอะไรไว้สำหรับคนที่สนใจอยากจะไปเรียนเมืองจีนรึเปล่าคะ
ถ้าจะให้แนะนำคนอื่นที่จะมาเรียนเมืองจีน รี่คงบอกว่าคนที่อยากจะมาควรมีพื้นฐานความรู้มาก่อน
เพราะในความเห็นของรี่เองนะ รี่เห็นหลายคนที่ไม่มีพื้นฐานเลย พอมาเรียนที่นี่แล้วเกิดเข้าใจความหมายของศัพท์ผิด
เขาก็ใช้อย่างผิด ๆ ไปตลอดแล้วแก้ไขยากด้วย เพราะเวลาเรียนในห้องเรียน
เหล่าซรือส่วนใหญ่อธิบายเป็นภาษาจีน ถึงแม้ว่าเหล่าซรือบางท่านจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ
แต่นักเรียนบางคนก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษและความหมายที่ใช้ภาษาอังกฤษอธิบายก็ไม่ค่อยตรงกับความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์บางคำด้วยด้วย
แล้วน้องบางคนพอไม่เข้าใจก็ไม่กล้าถาม ทำให้เกิดการใช้ภาษาที่ผิด ๆ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณน้องไฮ่และน้องเชอร์รี่มากนะคะที่สละเวลาอ่านหนังสืออันมีค่ามาให้พี่ได้พูดคุยกัน
ja-nok / OREN
|