HOMETOWN & UNIVERSITYNEWS & INFORMATIONCOURSESGALLERYFORUM 4UFAQs
ไปเรียนภาษาที่เมือง Qingdao ประเทศจีน By Jumbo A
  • แรงบันดาลใจ

    ผมขณะนั้นทำงานอยูในแผนกที่ผมทำงานนั้นเพื่อนร่วมงานสามารถใช้ภาษาจีนกันได้ทุกคนผมเป็นคนเดียวในแผนกที่ไม่มีความรู้ทาง ด้านภาษาจีนเลย ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องเรียนภาษาจีนเพิ่มเติม

    ผมได้รับคำแนะนำให้ไปสมัครเรียนที่สถาบันสอนภาษาจีนแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเรียนไปสักระยะแล้ว ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ผล แม้แต่ศัพท์ พื้นฐานและบทสนทนาเบื้องต้นก็จำไม่ได้ ลองตรึกตรองดูอาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนที่มีนักเรียนต่อห้องประมาณ 20 คน และระหว่างนั้นยังทำงานประจำอยู่จึงทำให้ ไม่มีเวลาทบทวน ยิ่งเรียนยิ่งท้อแท้

    ดังนั้น จึงตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วไปเรียนภาษาจีน ที่ประเทศจีนทั้งที่มีพื้นนิดหน่อยหรือเรียกว่าแทบจะไม่มีเลยก็ได้  ตัดสินใจ ไปที่เมืองชิงเต่า (QINGDAO) โดยมีเพื่อนร่วมชะตาชีวิต ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกประมาณ 20 คน โดยมีความคิดตรงกันที่ว่า หนีคนไทยจากปักกิ่ง (BEIJING) มาชิงเต่า และค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าพอสมควร เมื่อเทียบกับปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้

  • ถึงแล้วชิงเต่า

    เมื่อเดินทางถึงวันแรกย่อมเป็นธรรมดาที่อยากจะพิสูจน์ว่าเมืองที่ใครต่างพากันชมว่าสวยนั้น จะสวยอย่างที่ใคร ๆ ว่าไว้หรือเปล่า ตัวผมเอง เคยไปปักกิ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สภาพบ้านเมืองยังไม่มีอาคารสูง สงบและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมแบบจีนโบราณ ถนนสายต่าง ๆ เต็มไปด้วย ผู้คนที่มียานพาหนะคู่กายป็นจักรยาน รถยนต์ยังมีอยู่น้อย ดังนั้นจึงยังไม่มีมลพิษมากเท่าปัจจุบัน แต่ในวันนี้จักรยานยังคงมีอยู่ แต่จำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ความรู้สึกของผมที่มีต่อชิงเต่า จึงคล้าย ๆ กับที่ผมมีให้ปักกิ่งเมื่อ 10ปีที่แล้ว ด้วยภาพเมืองที่ดูสงบ สบาย ผู้คนไม่พลุกพล่าน

    แต่เป็นที่แปลกใจอย่างมาก คือ คนชิงเต่าใช้จักรยานกันน้อยมาก เพราะในตอนแรกตั้งใจว่า เมื่อมาอยู่เมืองจีนจะหาซื้อจักรยาน เป็นพาหนะส่วนตัวซักคัน ไว้ขี่เล่น แต่เมื่อทราบทีหลังว่า ด้วยสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ของชิงเต่าที่เป็นเนินเขา ดังนั้นชาวเมืองจึงนิยมไปหนมาไหนโดยใช้รถประจำทางมากกว่าที่จะขี่จักรยาน โดยราคาค่าโดยสารของรถเมล์ธรรมดานั้น อยู่ที่ 1 หยวนตลอดสาย และรถปรับอากาศราคา 2 หยวน ตลอดสายเช่นกัน

    ชิงเต่าเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล และเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึก สินค้ามีชื่อ คือ เบียร์ชิงเต่า (Tsingdao Bear) ซึ่งได้รับการถ่ายทอดกรรมวิธีการผลิตมาตั้งแต่สมัยเมื่อเป็นเมืองขึ้นของเยอรมัน และชาวชิงเต่าเล่าว่า น้ำที่ใช้ในการผลิตเบียร์ นั้นมาจากเทือกเขาเหล่าซัน (Lao Shan) น้ำจากธรรมชาติที่ทำให้เบียร์มีรสชาติดี

    ชิงเต่าได้รับอิทธิพลพายุทรายที่พัดมาจากตอนเหนือบ้าง แต่ไม่รุนแรงเหมือนปักกิ่ง เป็นเมืองที่มีลมค่อนข้างแรง อากาศเปลี่ยนเร็ว หน้าหนาวอุณหภูมิจะลดลงจนถึงติดลบ ตอนที่ผมไปถึง นั้นเป็นเดือนกุมภาพันธุ์ อุณหภูมิประมาณ – 2 องศาเซลเซียส ส่วนสภาพอากาศค่อนข้างแห้ง

    ภายในเมืองนั้น เดิน ๆ ไปพาให้นึกถึงเมืองเล็ก ๆ ในยุโรป บ้านเมืองที่สงบเรียบร้อย สะอาด และปลอดภัย ส่วนบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัยจะมีซุปเปอร์มาเก็ตสัญชาติฝรั่งเศส (ห้างคาร์ฟูร์) และ ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น (ห้างจัสโก้) ซึ่งมีสินค้าขายอย่างครบครันเช่นเดียวกับห้างที่บ้านเรามี ส่วนสินค้าด้านนอกที่วางแผงขายอยู่ทั่วไปนั้นราคาสามารถต่อรองได้ ตามความสามารถของผู้ซื้อ และคุณภาพของสินค้านั้น ๆ

    ดังนั้นการเตรียมสัมภาระสำหรับการไปเรียนที่เมืองจีนทุกวันนี้ น้อง ๆ ไม่จำเป็นต้องขนทุกอย่างไป ดังเช่นเมื่อก่อน เพียงแต่เตรียมไปพอใช้ เสื้อผ้านั้นสามารถหาซื้อเพิ่มได้ในราคาถูกด้วย แนะนำว่าให้เตรียมเรื่องของกินจะดีกว่า

  • อาหาร-การกิน

    แรก ๆ ที่ได้ทดลองทานอาหารสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ก็อร่อยดี รสชาติแปลก ๆ แม้ไม่ค่อยคุ้นเท่าไร เพราะอาหารส่วนใหญ่จะมันและเลี่ยน เพราะใช้น้ำมันในการปรุงอาหารเยอะ ส่วนสนนราคาประมาณ 5 หยวน กับข้าวมีให้เลือกประมาณ 7 – 8 อย่าง ที่ถูกปากผมและน้อง ๆ คนอื่นก็เห็นมีอยู่ 2 – 3 อย่าง แต่หลัง ๆ คงเหลืออาหารจานเด็ด อย่างเดียว คือข้าวผัดกับไข่เจียว เคยได้สัมภาษณ์กับแม่ครัว เกี่ยวกับอาหารที่เมนูแทบจะเหมือนกันทุกวัน มันมาจากสาเหตุใด แม่ครัวบอกว่า นักศึกษามีหลายชาติ จึงต้องเลือกทำรายการอาหารที่รสชาติกลาง ๆ และไม่จัดเพื่อให้นักเรียนส่วนมากทานได้

    เมื่อถึงจุดนึง อาการเบื่ออาหารก็มาเยี่ยมเยือน ผมและน้อง ๆ จึงหันมาหาอาหารประจำชาติ ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ้าง น้ำพริกต่าง ๆ บ้าง สลับกับการออกไปทานร้านอาหารข้างนอก ซึ่งมีทั้งแบบจีนชาวบ้าน จีนภัตาคาร อาหารเกาหลี (เนื่องจาก ที่นี่ อยู่ใกล้กับประเทศเกาหลีมาก ดังนั้นคนเกาหลีจึงนิยมมาเรียนกันมาก ทำให้ธุรกิจประเภทอาหารเกาหลีนั้นผุดเป็นดอกเห็ด) ส่วนร้านอาหารที่พวกเรานิยมแวะเวียนไปบ่อย ๆ ก็ร้านอาหารแบบตามสั่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย ด้วยราคาที่ไม่แพง และคนขายซี่งพวกเราคุ้นเคยฝีมือ

  • เรียน เรียน เรียน

    ช่วงแรกของการใช้ชีวิตในเมืองจีนค่อนข้างปรับตัวยาก ยิ่งเจอพฤติกรรมของคนจีนบางอย่าง เช่น ตะโกนกันเสียงดัง ถ่มน้ำลายไม่เลือกที่ ยังไม่รวมถึงกิตติศัพท์ห้องน้ำอันเลื่องชื่อ ซักระยะหนึ่งก็ปรับตัวได้ โดยต้องทำใจและเข้าใจคนจีน แต่ทุกอย่างกลับไม่ใช่อุปสรรคของการเรียนภาษา ความยากในการเรียนภาษากลับอยู่ที่ ผมคุ้นกับการออกเสียงแบบไทย ที่เรามักเอาเสียงพยัญชนะในภาษาไทยมาเทียบสียง และสำเนียงการพูดที่ติดปาก ถึงทุกวันนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องออกเสียงที่ถูกต้องอยู่ ส่วนการฟังนั้น ช่วงแรกต้องปรับหูอย่างมาก เนื่องจากคนจีนโดยส่วนมากพูดเร็ว แต่เมื่อฝึกฟังโทรทัศน์ หรือวิทยุบ่อย ๆ ทำให้เริ่มคุ้นกับจังหวะการพูดของคนจีน

    ผมขอชมน้อง ๆ ชุดนี้ว่าส่วนใหญ่ขยันเรียนมาก พยายามคบกับเพื่อนคนจีน บางคนถึงกับยอมสละความสุขในหอพักนักศึกษาต่างชาติ ไปอยู่หอพักนักเรียนจีน เพื่อแลกกับภาษาแล้วก็ได้สมใจ ยินดีกับน้องคนนั้นด้วย จากการที่พวกเราคนไทยชุดแรกขยันเรียนกันนั้น อาจารย์ต่างพากันชมนักเรียนไทย และเอาใจใส่นักเรียนไทย จะเรียกถามทุกครั้งที่มีโอกาส นอกจากอาจารย์แล้ว เพื่อนร่วมห้องหลายชาติ ต่างก็พากันชมพวกเรา ทำให้เรายิ่งต้องขยัน เพราะกลัวเสียหน้า

ก่อนจบผมมีข้อเสนอแนะ เล็ก ๆ น้อยมาฝาก เป็นวิธีที่ผมใช้ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่เมืองจีน ลองดูนะครับ

  • พจนานุกรมอังกฤษ – จีน, จีน – อังกฤษ ฉบับพกพา ติดตัวไว้ ไม่รู้ศัพท์คำไหน ขอเวลานอกเปิดเลยเมื่อได้ศัพท์ที่ต้องการแล้ว จดใส่สมุดเล็ก ๆ ของเราเอาไว้ทบทวน
  • พยายามพูดเข้าไว้ ไม่ต้องกลัวผิด เพราะไม่ใช่ภาษาแม่ เวลาไปคุยกับคนจีน พยายามอยู่คนเดียว อย่าเอาเพื่อนไปเด็ดขาด โดยเฉพาะเพื่อนที่พูดภาษาจีนได้ดีกว่าเรา เพราะคนจีน จะไปพูดกับเพื่อน แทนที่จะพูดกับเรา
  • ต้องพูดและฟังทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2-3 ชั่วโมง

    ไม่เกิน 2 เดือน คุณจะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว และเริ่มสนุกกับภาษาจีน ต่อไปนั้นผมถึงเริ่มฝึกเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่ยากที่สุด จำไว้อย่างหนึ่งว่า การเรียนภาษาจีนต้องใช้ความอดทนและความมุ่งมั่นอย่างมาก และคุณต้องรู้สึกสนุกกับการเรียนภาษาจีนด้วย

    ชีวิตในเมือง Qingdao ยังมีอีกมากมาย แล้วจะมาเล่ากันต่อ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่มีคำถามเกี่ยวกับเมือง Qingdao หรือเมืองอื่น ๆ สามารถสอบถามได้ที่ OREN นะครับ