วันเสาร์ที่
16 มีนาคม - วันออกเดินทาง
เวลาบนตั๋วพิมพ์ไว้ว่า16.20 น. กระรอกไปถึงสนามบินเวลาประมาณบ่ายโมงกว่า
ๆ หลังจากที่พบกับกลุ่มที่ประกอบไปด้วยคนของ OREN 2 คน และลูกคณะจำนวน
13 คน (รวมกระรอกด้วย) ก็เริ่มทำการชั่ง นน. กระเป๋า และมุ่งหน้าไปยัง
Gate 35 แต่กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็ปาเข้าไป 17.20 น.
พวกเราเดินทางด้วยเครื่องของสายการบินยูนนาน
อาหารบนเครื่องจะใส่มาในถาดที่มีลักษณะเหมือนฝาทัพเพอร์แวร์ (มาแต่ฝา
ไม่มีกล่อง) อาหารโอเค แต่วิวสวยมาก ท้องฟ้ายามค่ำที่กระรอกไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าท้องฟ้าจะมีสีม่วงกับส้มรวมกันได้ดูดีขนาดนี้
เมื่อลงจากเครื่องลมเย็นก็ปะทะเข้ามาทันที
หลังจากที่ผ่านการตรวจวีซ่าแล้วกระรอกก็เดินไปเข้าห้องน้ำสนามบินของจีนเป็นครั้งแรกในชีวิต
(คราวก่อนที่ไปเซี่ยงไฮ้ไม่ได้เข้าห้องน้ำสนามบิน) ห้องน้ำที่นี่มีลักษณะพิเศษคือจะมีระบบ
AutoUnlock คือ เลื่อนตัวล็อคแล้วมันจะสปริงตัวกลับไปอยู่ที่เดิม ไม่รู้ใช้เทคนิคอะไรเหมือนกันแต่กระรอกต้องวานเพื่อนร่วมทางมาเป็นยามเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำทั้ง
ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนกลัวผี (ห้องน้ำเมืองจีนน่ากลัวกว่าผี?)
ออกมาด้านนอกก็พบกับพวกเหล่าซือหลี
(เหล่าซือ : อาจารย์) ที่มารับพร้อมด้วยรถบัสอีก 1 คันเพื่อเดินทางต่อไปยัง
Yunnan Normal University (เรียกย่อ ๆ ว่า "ซรือต้า" ) พวกเราเข้าพักกันที่หอพัก
นศ.ต่างชาติ (International Cultural Exchange Center) กระรอกพักที่ห้อง
608 คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ได้ชั้น 7 (ทั้งหมดมี 8 ชั้น และตึกนี้....ไม่มี...ลิฟต์..กรี๊ดดดด!!!!)
จากนั้นเราก็แบกของขึ้นห้องใครห้องมัน (นอนห้องละ 2 คน มีลักษณะเหมือนห้องพักในโรงแรม
- ดีกว่าที่คิด )
น้ำร้อนสำหรับอาบที่หอนี้มีให้ใช้ตอน
2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน..
วันอาทิตย์ที่
17 มีนาคม - ลุยคุนหมิงกันเต๊อะ
ตื่นตอน 7 โมงเช้า เดินลงไปข้างล่างเพื่อไปหาของกิน
ที่โรงอาหารของซรือต้าพวกเราเหมาแบบบุปเฟต์ไว้ 2 อาทิตย์ แต่มื้อนี้เท่าที่เห็นก็มีแต่ของธรรมดา
ไข่ หมั่นโถว ฯลฯ
จากนั้นก็ยกขบวนกันไป WALLMART (ห้างสรรพสินค้า)
โดยที่สัมภาระบางชนิดต้องฝากไว้ก่อนเข้าไป (เหมือนห้าง โลตัส) จากนั้นพวกเราก็เข้าไปทางชั้น
2 แยกย้ายกันไปช็อป...
แบกของกันกลับมาที่หอพัก ระหว่างทางก็มีการซื้อบัตรโทรศัพท์
(พวก 200 201 เทือกนี้ - กระรอกไม่ซื้อหรอกใช้แบบเก็บเงินปลายทางดีกว่าประหยัดเงินเรา
5555) แล้วก็ออกไปกินข้าวเที่ยงกันข้างนอก (ลองของ) รวม 7 ชีวิต เมนูมีอาหารหลากหลาย
แต่สั่งกันอยู่ 2 อย่างคืออาหารที่ใส่หม้อมา (มีเครื่องเหมือนแกงจืด)
กินกับข้าว แล้วก็ที่กระรอกสั่งคือแกงกะหรี่ไก่ (มีวิญญาณไก่ พริกหยวก
มันฝรั่ง น้ำแกง แล้วก็ข้าว) รสชาติไม่รุนแรงอย่างที่คิด นับว่ามื้อนี้โชคดีไป
กลับมาที่หอตามนัดแล้วก็ออกไปเดินกันอีก
(เดินกันทั้งวัน) แต่แล้วฝนก็ตก ทุกคนแตกกลุ่มกันไปหลบฝนตามห้าง กระรอกเอง
ลัดเลาะกันไปแล้วก็แวะที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากที่รมควันอาหารในร้านนานพอสมควรแล้วก็เดินต่อที่ตลาดปลานก
(ชวนคิดถึง JJ ในกรุงเทพฯ ) ซึ่งมีของขายสารพัด เดินไปมาซักพักแล้วพวกเราก็นั่งรอรถมารับกลับเกือบชั่วโมง
เมื่อถึงที่พักก็ฝ่ามรสุมกันไปกินข้าวที่โรงอาหาร
ยังมีเวลาว่างกันอีกมากก่อนจะถึงเวลาเอาหัวไปซุกที่นอน กระรอกจึงไปเล่น
Internet (ราคาชั่วโมงละ 5 หยวน) พอได้เครื่องกระรอกก็เปิดทันที ไอคอนและคำสั่งที่เห็นในเครื่องจะเป็นอักษรจีนทั้งหมด
(เปิดแต่ละวินโดว์มาก็เป็นภาษาจีน ต้องมานั่งปรับ) ส่วนความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลอยู่ในเกณฑ์ดีมากถึงมากที่สุด
เมื่อดูเสร็จแล้วก็ไปจ่ายเงินประมาณ 6 หยวนกว่า ๆ แล้วก็กลับที่พักท่ามกลางอากาศหนาวเย็น
(ที่นี่ 1 ทุ่มก็ยังสว่างอยู่)
วันจันทร์ที่
18 มีนาคม - ได้เวลาเรียนแล้ว
รู้สึกตัวตอนประมาณตี 5 ได้ยินเสียงทหารออกกำลังกายแล้วกระรอกก็หลับต่อ
เวลา 9 โมงเรียนภาษาจีน (แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือพวกที่พูดพอได้อยู่แล้วกับพวกที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย
- กระรอกอยู่พวกหลัง) กระรอกเรียนกับเหล่าซือกง ก่อนอื่นก็หัดออกเสียงต่าง
ๆ ที่จะนำมาใช้ประกอบเป็นคำ เล่นเอาปวดกรามและลิ้นไปหมด
บ่ายสองโมงครึ่งเรียนการตัดกระดาษแบบจีน
กระรอกได้เรียนรู้ว่า
อุปสรรคสำคัญในการตัดกระดาษมีเพียงสิ่งเดียวคือ...ความเมื่อยมือ
ตอนบ่ายว่าง ส่วนตอนเย็นเหล่าซือหลีนัดเลี้ยงต้อนรับ
และสิ่งที่ทุกคนทำตามกันโดยมิได้นัดหมายคือ การหยิบทิชชู่ติดมือกลับที่พัก..
วันอังคารที่
19 มีนาคม - บะหมี่ในตำนาน
อาหารในโรงอาหารรู้สึกว่าจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ในแต่ละมื้อแต่ละวัน..
9 โมงเช้าเรียนภาษาจีนเช่นเคย หลังมื้อเที่ยงพวกเราเกิดบ้าอยากเล่นบาสกันขึ้นมาเลยเข้าไปยืมลูกบาสเขามาเล่นกันโดยจองแป้นบาสไว้อันหนึ่ง
แต่พอเล่นเสร็จก็มอมไปหมด (เสื้อขาวกลายเป็นสีดำ เสื้อดำกลายเป็นสีขาว)
จึงได้กลับที่พักไปเปลี่ยนเสื้อแล้วเอาที่มอมไปซัก (กิโละละ 4 - 5
หยวน)
ตอนบ่ายเหล่าซือหลีพาพวกเราไปเที่ยวที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อย
(Yunnan Naionalities Village) ซึ่งเป็นเมือง จำลองหมู่บ้านต่าง ๆ
ของชนกลุ่มน้อย 26 เผ่า ไว้ในที่เดียวกันให้เดินชม อากาศดี ต้นไม้เยอะ
(ต้นไม้เยอะทุกที่ในคุนหมิง) และลมแรง มีจุดให้แวะพักดื่มน้ำและทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นระยะ
(ระยะไกล ๆ) และมีจุดขายของฝากเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป (กระรอกไม่ซื้ออีกตามเคย)
เมื่อถึงเวลา 5 โมงก็กลับไปที่ทางออก
และมุ่งหน้าไปทานมื้อเย็น นั่นคือ กว้อเฉียวหมี่เสี้ยน (guo qiao mi
xian : Across-the-bridge noodles) บะหมี่ที่มีต้นกำเนิดในคุนหมิง
บะหมี่ในตำนาน!! (ใครเคยอ่าน "ยอดกุ๊กแดนมังกร" มั่ง
มีการเล่าถึงบะหมี่ชนิดนี้ด้วยนะ)
ที่มาก็คือ เมื่อก่อนมีชายผู้หนึ่งที่จะสอบเป็นจอหงวนและจะไปอ่านหนังสือที่ศาลากลางน้ำทุกคืน
ฝ่ายภรรยาของเขาก็จะคอยทำอาหารข้ามสะพานไปให้ทาน แต่ด้วยความหนาวของอากาศ
ฝ่ายสามีจึงได้แต่ทานอาหารเย็น ๆ ภรรยาจึงคิดค้นอาหารชนิดนี้ขึ้นมา
โดยนำน้ำมันไก่ใส่ลงในน้ำซุปเดือด ๆ เป็นปริมาณมาก ๆ เพื่อที่น้ำมันจะได้เคลือบผิวหน้าของซุปไว้กันความร้อนไม่ให้ออกมา
เมื่อไปถึงที่ถึงจะนำเครื่องต่าง ๆ ใส่ลงไปสามีก็จะได้ทานอาหารร้อน
ๆ กระรอกได้ลองแล้ว อร่อยกว่าที่คิด ชามใหญ่มากและเติมเส้นได้ไม่อั้น
(แล้วแต่ร้านหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ)
วันพุธที่ 20 มีนาคม - กุ้งกับนกกระเรียน
หลังมื้อเที่ยงเดินเล่นด้านนอกมหาลัยร้านเกี่ยวกับการ์ตูนที่นี่กระรอกเห็นแต่ร้านขายภาพ
มีแบบการ์ดภาพ ภาพแขวนผนัง และโปสเตอร์ แต่ร้านการ์ตูนยังไม่เห็น เมื่อได้ของมาพอสมควร
(และเมื่อยขาพอสมควร) ก็ยกพวกกลับเอาของไปฝากไว้ที่เคาเตอร์ของหอพัก
(ขึ้นอีก 6 ชั้นไม่ไหว) แล้วไปเรียนภาคบ่ายซึ่งวันนี้เราจะเรียนการเขียนภาพด้วยพู่กันจีน
ได้ลองวาดภาพกุ้ง1 แผ่น และนกกระเรียน อีก 1 แผ่น และรู้สึกว่ายิ่งจับพู่กัน
ทั้งภาพและตัวอักษรที่ลงมือไปจะยิ่งดูไม่ได้ขึ้นทุกที (-_-')
วันพฤหัสบดีที่
21 มีนาคม - น้ำซุปและเศรษฐกิจจีน
เที่ยงตายรังที่โรงอาหาร แต่มื้อนี้ยาวนานนัก
น้องหญิงติดใจซุปจนไม่ยอมลุก (ขอขนานนามให้เธอว่าเจ้าแม่ซุป) กระทั่งพ่อครัวเริ่มเข้ามาแล้วเธอก็ยังไม่มีทีท่าจะเลิกง่าย
ๆ
หลังจากแกะน้องหญิงออกมาจากโรงอาหารได้พวกเราก็ไปเดินซื้อของอีก
(ว่างไม่ได้) ตอนบ่ายมีการเข้าฟังเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีน..จะหลับเอา
มื้อเย็นหลังจากพักสมองในห้องเรียบร้อยแล้วก็เดินขบวนกันไปกินข้าวที่แถว
WALLMART เป็นอาหารคล้ายสุกี้บุปเฟ่ต์ คือมีหม้อต้ม แล้วก็เดินตักเครื่องเอาเอง
(^_^)
กลับมาถึงที่พักก็มืดแล้ว ดาวเต็มฟ้า
แต่ก็ยังคงปวดเท้าดังเช่นทุกวัน..
วันศุกร์ที่
22 มีนาคม - ในที่สุดก็ได้ CD
มื้อเช้าฉลองถ้วยใหม่ด้วยมาม่ารสสุกี้
(มาม่าไทยที่มีคนเอามาให้) กินเสร็จแล้วเพิ่งรู้ตัวว่ามันมีปัญหาเรื่องการทำความสะอาดเลยวางทิ้งไว้ในห้องน้ำก่อน
(ห้องน้ำกลิ่นสุกี้)
บ่ายนี้ไม่มีวิชาเรียน แต่พวกเราต้องมาร่วมกันออกความคิดว่าเราจะแสดงอะไร
เพราะคืนนี้จะมีนักเรียนจีนมาแสดงอะไร ๆ ให้ดู ตกลงกันได้ที่การร้องเพลงแบบเด็ก
ๆ แล้วก็เล่นเกมแบบไทย ๆ (เกมแบบที่แถว ๆ 12 ปันนาก็มีเล่นอยู่แต่เนื้อร้องต่างกันไปเล็กน้อย)
กระรอกก็คิดว่าจะร่วมด้วย แต่ด้วยปัญหาทางสุขภาพจึงเป็นคนถ่ายรูปแทน
ก่อนกลับที่พักเดินออกไปซื้อน้ำยาล้างจาน (จะได้เอาถ้วยไปใช้อย่างอื่นด้วย)
แล้วเลยไปเข้าร้าน CD กระรอกได้ CD ของหวังเฟย (FayeWong) กลับมา (ราคาถูกมากกกกก)
วันเสาร์ที่
23 มีนาคม - เที่ยวชมป่าหินกับร้านอาหารสั่นประสาท
ตื่นกี่โมงจำไม่ได้ แต่เอ้อระเหยกันอยู่ในห้องจนเกือบ
8 โมงจึงได้ลงมา ซื้อซาลาเปากินกับเจ๊หนกคนละลูก (ลูกละ 5 เหมา) แล้วก็ไปรอคนอื่น
ๆ ที่รถบัส วันนี้เราจะไปเที่ยวป่าหินกัน เดินทางประมาณ 3 ชม. ก็มาถึง
(ตอนนี้กำลังมีการสร้างมอเตอร์เวย์อยู่ คาดว่าจะเสร็จราวปี 46 ซึ่งจะทำให้ร่นระยะเวลาการเดินทางไป
1 ชั่วโมง)
ป่าหินนี้อากาศเย็น ลมแรงมาก ทางวกวนและหูอื้อเป็นระยะ ๆ เดินจนเหนื่อย
สวยสมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว (ที่ห้ามเดินบนสนามหญ้า -_-') กว่าจะออกมาก็ประมาณบ่ายโมง
เหล่าซือหลีพาไปกินข้าวร้านริมทาง..สกปรกอย่างหาที่เปรียบมิได้ ถ้วยน้ำเปียก
แถมยังมีฝุ่นเกาะ ทิชชู่ก็เหม็นยา ดูอันตรายยิ่งนัก ต้องล้างแก้วเปล่าด้วยน้ำชาร้อน
ๆ ก่อนถึงกล้ากิน พลาสติกรองโต๊ะแบบที่ควรใช้ครั้งเดียวทิ้งก็ไม่ได้เปลี่ยนให้
ตอนที่ไปถึงเศษซากอาหารเต็มพื้นไปหมด (เขากินกันยังไงเหรอ? - -') อาหารมีรสปกติ
คือเค็มกับมัน มีเบียร์ด้วย โต๊ะของเหล่าซือหลีมีการสั่งเพิ่ม (ผู้ใหญ่ที่นี่ไม่จำกัดอายุเด็กในการดื่มล่ะมั๊ง)
มีตัวแดงกลับขึ้นรถ 2 คน (ท่าจะหนัก)
กว่าที่พวกเราจะถึงที่พักก็ 4- 5
โมงแล้ว หลังจากพักจนพอใจแล้วกระรอกก็ลุยเดี่ยวเดินเล่นข้างนอก ผ่านหลายร้านแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย
(ใจจริงอยากซื้อหนังสือ แต่พอไปถึงก็ประมาณ 1 ทุ่มกว่า แผงหนังสือปิดหมดแล้ว)
เดินกลับเข้ามหาลัย ผ่านสนามบาสเห็นพวกเดียวกันเล่นอยู่
เดินเข้าไปคุยสักพักฟ้าก็เริ่มมืด (กระรอกไม่เล่นแล้ว กลัวต้องส่งผ้าซักอีก)
ก่อนกลับเข้าหอก็เดินเลยกันไปซื้อเบียร์กันมา (ดีกรีต่ำว่าของไทย)
บางคนดื่มบางคนไม่ดื่มแต่ตบท้ายด้วยการเล่าเรื่องผี เล่นเอาบางคนต้องย้ายห้องไปนอนรวม
ๆ กัน ส่วนกระรอกนอนปกติ แต่แย่ตรงที่ว่าคืนนั้นลมไม่พัดเลย อากาศร้อนกว่าปกติ
วันอาทิตย์ที่
24 มีนาคม - สวนสัตว์ สวนสนุก
เช้ามาได้ข่าวว่า หลอน กันเป็นแถว
ๆ ตั้งแต่เสียงเดินไปเดินมาจนถึงเสียงชักโครก ตามด้วยเสียงเป่าขลุ่ย
เหอ เหอ...
ใช้เวลาแป๊บเดียวก็มาถึง ซีซาน (Xishan)
พวกเรานั่ง Rope way ขึ้นเขากัน (ถ้าไปทางเดินจะกินเวลาประมาณ 3 ชม.)
แล้วเดินขึ้นต่อไปอีกหน่อยเพื่อชมวิว แต่ศาลาที่เป็นจุดชมวิวนั้น บนเพดานจะมีรอยจารึกเต็มไปหมด
ภาษาไทยก็มี (ประเภท ฉันรักคุณ) แต่ดูจากการใช้ภาษาและลายมือแล้วไม่เหมือนคนไทย
น่าเสียดายที่ในกลุ่มไม่มีใครเอาชอล์คหรืออุปกรณ์ที่จะใช้เขียนได้ขึ้นไปด้วยไม่งั้น...
ขาลงส่วนใหญ่จะเดินลงแต่กระรอกเซย์โนด้วยความขี้เกียจ จะลง Rope way
กับพี่นุช พร้อมกับบ่นกันว่าหิว ลงมาถึงก็เดินดูของกัน (ดูของกินแล้วรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตอย่างเราคงไปกินของเขาไม่ไหว)
พี่นุชตกหลุมพรางคนวาดภาพ วาดออกมาแก่กว่าตัวจริง 20 ปี (ตัวจริงอุตส่าห์หน้าอ่อน
^^')
เมื่อพวกที่เดินลงมาตามมาสมทบแล้วก็เดินไปเจอที่รับเขียนชื่อเป็นภาพ
(คือเขียนตัวอักษรเป็นภาพ) มีภาษาไทยซะด้วย (แล้วไอ้ที่เขียน ฉันรักคุณ
ข้างบนนั่นฝีมือพวกไหนแน่ยังคงเป็นปริศนา)
ตามเหล่าซือหลีไปทานมื้อเที่ยงกันต่อ
วันนี้เป็นร้านที่ดูสะอาดกว่าเมื่อวาน แต่มีไก่เป็น ๆ คางคกเป็น ๆ
อยู่หน้าร้าน ส่วนในร้านมีไส้กรอกกับซี่โครงตัวอะไรบ้างก็ไม่รู้แขวนเต็มไปหมด
พออาหารเริ่มทะยอยมาโต๊ะที่กระรอกนั่งจะมีสภาพเป็นโต๊ะฮองเฮา ส่วนอีกโต๊ะเป็นโต๊ะสามัญชน
ไม่ใช่เพราะความแตกต่างด้านอาหาร แต่โต๊ะกระรอกแต่ละคนจะชิมอาหารจานละคำ
สองคำ (คำเดียวก็ตัดใจ ไม่ใช่ติดใจ) ในขณะที่อีกโต๊ะกินกันแบบแร้งลง
(^^')
กลับถึงที่พัก นัดเวลาไปเที่ยวต่อที่สวนสัตว์ใกล้
ๆ แล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อน ทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างเหนื่อยกันมากแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครนอนพัก
ที่สวนสัตว์จะไม่แปลกที่สัตว์ แต่จะแปลกตรงที่มีเครื่องเล่นแบบสวนสนุกอยู่ข้างใน
แม้จะแยกกันไปสองกลุ่มแต่ก็มาเจอกันที่นี่โดยมิได้นัดหมาย กระรอกลองเครื่องเล่นหลาย
ๆ อย่างที่เป็นแนวหวาดเสียว แต่ดูจะไม่เสียวเท่าที่บ้านเรา แล้วเราก็ไปหาทางออกกัน
ระหว่างทางเจอเด็กน้อยคนหนึ่งขาติดอยู่กับต้นไม้ร้องหาแม่ พวกเรายืนดูแล้วไม่มีวี่แววใครช่วยเลยเข้าไปช่วยเอง
พอเด็กหลุดมาได้ก็เดินหาแม่ต่อ ดู ๆ ไปแม่เด็กคงไม่อยู่แถวนี้ (เกิดข้อสันนิษฐานว่าแม่เด็กคงติดอยู่กับต้นไม้ต้นอื่น)
วันจันทร์ที่
25 มีนาคม - เหล่าซือกงพาช๊อปปิ้ง
9 โมงเช้า วันนี้ออย (โดราออยม่อน
ผู้คอยช่วยถือสัมภาระให้เพื่อนพ้องอยู่เสมอ) มึนหัวเนื่องจากการไปเล่นที่สวนสัตว์
(?) เมื่อวาน จึงเข้าเรียนด้วยไม่ได้ แต่ได้ข่าวว่าพี่เล็กให้ยาครอบจักรวาลกับเธอไว้
นั่นคือ "อีโน" (อาการมึนหัวให้กินอีโนเนี่ยนะ?) เรียนไปสักพักเหล่าซือกงบอกว่าจะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอก
ไปซื้อของกัน ขึ้นรถเมลล์ไปตลาดปลานก (ที่เคยบอกว่าเหมือน JJ) แวะดูร้านหยกเป็นส่วนใหญ่
พอเที่ยงก็กินข้าว เป็นบะหมี่ในหม้อดิน รสชาติเข้มข้น (เป็นร้านอิสลาม)
เส้นใหญ่แต่ขาดง่ายมาก
กลับมาที่มหาลัย รอบบ่ายมีเรียน WUSHU
ต่อ เป็นศิลปะป้องกันตัวแบบจีน เช่นรำดาบ รำไทเก็ก อะไรเทือกนั้น ใส่กางเกงยีนส์รำแล้วจะบ้าตาย
(ส่วนใหญ่ใส่ยีนส์กันซะด้วยสิ) แล้วก็ไปดูเขารำไทเก็ก ท่าพื้นฐาน 24
ท่า ดูคนที่รำเก่ง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก
วันอังคารที่
26 มีนาคม - มาทำอาหารกันเถอะ
ตอนบ่ายมีเวลาว่างมากเลยขึ้นไปเล่นกับพวกชั้น
7 แล้วโดนล่าให้เขียนเฟรนด์ชิป เกือบบ่ายสามลงไปรวมตัวกันเพื่อเรียนทำอาหาร
(เกี๊ยว) เดินทางแสนไกลกันไปจนถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่พวกเราเหมาร้านไว้
ทางร้านจะเตรียมแผ่นแป้งละไส้ไว้ให้พวกเราห่อเกี๊ยว พวกเราอยากทานแบบทอด
แต่เพราะห่อกันไม่ค่อยแน่นเลยได้แต่ต้ม เจ้าของร้านเลยห่อเกี๊ยวอีกชุดเพื่อทอดให้เรากินกันแต่ก็กินกันได้ไม่กี่ชิ้น
วันพุธที่
27 มีนาคม - ปิคนิคกึ่งสำเร็จรูป
การเรียนวันนี้มีบางคนเริ่มงอแงอยากออกไปข้างนอกอีก
เหล่าซือกงโอเค แต่เอาไว้งวดหน้า..
ตอนบ่ายเหล่าซือหลีพาพวกเราไปเดินเล่นที่
WORLD HORITI-EXPO GARDEN เป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีพืชและตัวอย่างแมลงหลากชนิด
แล้วก็เป็นสวนที่จัดแสดงให้เป็นถึงความแตกต่างในแต่ละเมืองของจีน ตอนที่ไปนั้นอากาศร้อนมาก
แดดไป ๆ มา ๆ ตลอด กลุ่มของกระรอกจึงเดินกันในส่วนที่เป็นอาคารซะมากกว่า
(ที่จริงของขายก็มีไม่น้อย แต่กระรอกเดินดูอย่างเดียว เพราะที่ไหน
ๆ ก็มีขายเหมือน ๆ กันแทบทั้งนั้น) ที่นี่อาจจะเป็นที่เดียวที่เราสามารถเห็นใบตองของต้นกล้วยแบบสมบูรณ์ได้
แต่ไม่ยักกะเห็นปลีหรือเครือของมันเลยแฮะ
เดินออกมาเรื่อย ๆ (นั่งพักมั่งก็มีนะไม่ใช่เดินตลอด)
จนเจอประตูใหญ่ กับอีกกลุ่มนึงที่นั่งรอที่ข้างทางอยู่ก่อน ..หิวแล้ว
กระรอกเดินหาของกินกับอีก 4-5 คน จนถึงร้านสุดท้าย เหลือบไปเห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็กรูกันเข้าไปดูราคาแล้วชี้
ๆ (ภาษามือ) พนักงานก็จะหยิบมาแกะเครื่องปรุงเติมน้ำร้อนให้ พวกเราจ่ายเงินแล้วก็ถือกันคนละกล่องกลับไปที่จุดเดิม
(ที่จริงจะนั่งกินในร้านก็ได้ แต่บรรยากาศข้างนอกกินสนุกกว่า ^^)
กว่า 1 ชั่วโมงเหล่าซือหลีก็มารับไปทานมื้อเย็น
คราวนี้ไม่กินเป็นฮองเฮาแล้ว อาหารอร่อยเกือบทุกอย่าง (เหล่าซือหลีคงรู้แล้วว่าพวกเรามีวิธีกินอาหารตามธรรมชาติแบบไหน)
กลับมาถึงที่พักก็ตกใจเพราะมีคนยืนมุงเต็มไปหมด (ประมาณ 30 คน - ก็ทางเข้าหอมันเล็กอ่ะ)
กว่าจะรู้ว่าเป็นพวก เด็กจีนที่เรียนเอกภาษาไทย ก็เสียเวลาไปไม่น้อย
บางคนเป็นคนใน 12 ปันนา บางคนมีชื่อไทยด้วย (แต่ไม่รู้ความหมายของชื่อตัวเอง)
คุยกันไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินไปส่งเขาที่ประตูใหญ่ เสร็จแล้วกระรอกกับเจ๊หนกก็แว๊บไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาเป็นเสบียงในห้องพัก
วันนี้กระรอกสามารถขึ้นรวดเดียว 6 ชั้น!!!! (ปกติจะพักที่ชั้น 4 ก่อนค่อยกระดึ๊บต่อไปถึงชั้น
6 ^^')
วันพฤหัสบดีที่
28 มีนาคม - WALLMART จุดรวมพล
เช้าวันนี้ห้องเรียนเปิดไม่ได้ เหล่าซือกงจึงพาออกไปเดินซื้อของข้างนอกอีก
แต่คราวนี้เดินไม่ห่างจากมหาลัยมาก (เทียบกันก็คงประมาณเดินรอบหมู่บ้านใหญ่
ๆ สักแห่ง)
ตอนบ่ายมีเรียนเขียนหนังสือด้วยพู่กัน
ไม่ได้เขียนจริง ได้แต่ฟังอย่างเดียว 3 ชม. รวด เล่นเอาง่วงหูตูบ จากนั้นกระรอกก็ไปเดิน
WALLMART ตอนเดินไปก็เจออีกกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ทันได้ทักเพราะอยู่ไกลกว่ากันมาก
และพอขากลับที่แยกออกเป็นอีก 2 กลุ่มคือกลุ่มที่จะกลับเลยกับกลุ่มที่จะเดินดูของระหว่างทางกลับ
กระรอกก็นั่งแท็กซี่ขนของกลับกับเด็ก 2 คน เจออีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้าไป
WALLMART อีก (ตกลงไปที่เดียวกันหมดกระมังนี่ ^^') เมื่อมาถึงที่ก็พบปัญหาอีก
เพราะที่พักของเราจะติดกับประตูข้างมหาลัย แต่เขามาส่งที่ประตูใหญ่
พวกเราจึงหอบของไปตามทางที่ปลอดคนที่สุด (ถือกันคนละประมาณ 4 ถุงใหญ่
ๆ เหมือนคืนนี้จะมีงานเลี้ยง แต่เปล่า) กว่าจะถึงที่พักเล่นเอาเหนื่อย
ขนของขึ้นไปเก็บแล้วก็กินบะหมี่บนห้อง ขี้เกียจลง
ตอนดึกขึ้นไปเล่นกับพวกชั้น 7 พบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กระรอกซื้อมากินเมื่อวานเป็นที่นิยมมาก
คืนนี้มีคนกินกันถึง 5 กล่อง รู้สึกภูมิใจในฐานะผู้ค้นพบ
วันศุกร์ที่
29 มีนาคม - นอนดึกเป็นพิเศษ
เช้านี้ว่าจะกินขนมปังกับกาแฟ แต่ไม่ไหว
ของหวานก็คือของหวานวันยันค่ำ ในที่สุดก็ไปลงที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีก
9 โมงลงมาข้างล่าง เหล่าซือกงมารออยู่แล้ว
วันนี้เราจะไปเดินซื้อของกัน (อีกแล้ว) การเดินทรหดเริ่มขึ้น ทุกคนเริ่มแยกย้ายไปดูของในร้านใกล้
ๆ กัน เพื่อความสะดวกในการขอความช่วยเหลือ (ต่อราคา) เดินจนถึงบ่ายสองโมงครึ่งถึงได้กินข้าว
(คนอื่นหยุดแล้วแต่เหล่าซือยังคงเดินต่อ) กลับมาถึงที่พักกระรอกก็นอนจนถึง
5 โมงครึ่ง ตื่นมามึนหัวเลย (นอนมากไป)
(ส่วนอีกห้องหนึ่งไปเที่ยวเหมือนกัน
ที่สวนสาธารณะ Cui hu ไม่ไกลจากมหาลัยมาก เป็นทางผ่านตอนที่ไปทำเกี๊ยวกันเมื่อวันที่
26 ท่าทางจะร่มรื่นดี)
เหล่าซือหลีพาไปกินมื้อเย็น (ฉลองอีกแย้ว)
มื้อนี้อร่อยเช่นเคย ยกเว้นเป็ดปักกิ่งที่รสชาติไม่เหมือนที่คยกิน
(TOT) กลับถึงที่พักก็เก็บของเตรียมกลับบ้าน
วันเสาร์ที่
30 มีนาคม - กลับสู่บางกอก
ตื่นมาเกือบสาย เพราะไม่มีกิจกรรม
กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังเหลือแล้วเปิดโทรทัศน์ดู พบรายการ "กำจัด
จุดอ่อน!" ของจีนด้วย (>.<) แต่พิธีกรเขาไม่ดุเหมือนของเราเลย
แต่การจัดฉากและดนตรีประกอบเหมือนกันเด๊ะ เสร็จแล้วพวกเราแต่งตัวแล้วก็บรรจุของใช้ที่เหลือลงกระเป๋า
นอกนั้นถ้าขี้เกียจเอากลับไปพวกเราก็จะบริจาคให้กับคนที่ยังจะอยู่ต่อ
(ทิชชู่ น้ำยาล้างจาน อาหารกระป๋อง เป็นต้น) จากนั้นก็ขนของลงไปชั้นล่างเพื่อเดินทางกลับ
โดยส่วนใหญ่ของจะเพิ่มมากกว่าขามา 2 เท่า (^^')
รถออกจากที่พักเวลาเที่ยงครึ่ง พวกเราเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติคุนหมิง
ขั้นตอนการชั่ง นน. กระเป๋า และตรวจพาสปอร์ตไม่มีอะไร (วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว)
แต่พอผ่านจุดตรวจร่างกายไหงทำเครื่องร้องเกือบทุกคนก็ไม่รู้ (กระรอกผ่านแล้วไม่ร้องนะ
ไม่รู้เพราะอะไร ^^')
กระรอกเริ่มหิวแล้วเพราะไม่ได้ทานมื้อเที่ยงมา
เดินไปดูที่บาร์ก็เงียบเชียบ (ทำบาร์ไว้เพื่ออันหยัง ^^!!) กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็เกินเวลาบนตั๋วไปมากเหมือนขามา
คราวนี้กระรอกได้นั่ง 38G ติดหน้าต่างอีกแล้ว หลังจากที่ดื่มกินอะไร
ๆ เสร็จอยากเข้าห้องน้ำก็เข้าไม่ได้ เครื่องใกล้จะลงแล้ว แอร์โฮสเตท
ล็อคประตูห้องน้ำตอนที่กระรอกคิดจะลุกพอดี ต้องรอลงจากเครื่องไปตรวจพาสปอร์ตขาเข้าเสร็จจึงรีบวิ่งไปเข้าก่อนรับกระเป๋าสัมภาระ
(ด้วยความสบายใจมากกว่าใช้ห้องน้ำเมืองจีนหลายขุม) จากนั้นแต่ละคนก็พบผู้ปกครองของตัวเองและแยกย้ายกันกลับบ้าน
(วันต่อมาเป็นวันเชงเม้ง กระรอกไม่ได้พักเลย แดดก็ร้อน T_T)
แถมท้าย
- คุนหมิงไม่มีมด แม้จะเปิดขนมทิ้งไว้ในห้องเป็นอาทิตย์มันก็ไม่มา
- คุณจะได้เห็นสับปะรดเกือบทุกที่ในคุนหมิง ที่นี่จะปอกเปลือกแกะตาสับปะรดออกและเสียบไม้ขาย
กินเหมือนขนมสายไหมเลย
- แตงโมที่นี่มีหลายขนาด ตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณฟุตครึ่งไปจนถึงลูกเท่ากำปั้น
- ในเมืองจีน หยกมีขายในทุกที่ที่เป็นที่ท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้ง
แต่จะแท้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่อง
- เครื่องดื่มส่วนใหญ่หรือแม้แต่เบียร์ในคุนหมิงราคาจะอยู่ที่
1 - 3 หยวน โดยประมาณ ยกเว้นของที่มาจากต่างประเทศ
- อยู่เมืองไทยกระรอกไม่เคยกินชาไข่มุก แต่ที่นี่แก้วใหญ่ราคาแค่
2 หยวน แถมยังมีไข่มุกให้มากกว่าด้วย แล้วก็เหนียวกว่าอีกต่างหาก
- เครื่องดื่มส่วนใหญ่จะไม่ใส่น้ำแข็ง ไม่ว่าจะตามร้านข้างถนนหรือแม้แต่ในภัตตาคาร
- อายุเฉลี่ยของคนเที่ยวผับในจีนจะอยู่ประมาณ 30 ขึ้น
- ที่ไปรษณีย์มีเพจเจอร์ขายด้วย และมีธนาคารในตัว ฝาก-ถอน ได้
- ต้นกล้วยที่นี่ถ้าเป็นต้นที่มีไว้โชว์กลางแจ้งจะห่อเหี่ยวและหาใบตองแบบสมบูรณ์ยากมาก
- คนจีนจะกินเนื้อวัวเป็นปกติ สำหรับคนที่ทานไม่ได้สามารถถามคนขายก่อนได้ว่านี่วัวอ๊ะเปล่า
ส่วนคนที่ทานได้ก็เลือกกินได้ตามสบาย เสี่ยงแค่รสชาติอย่างเดียว
- เห็นทหารที่นี่ไม่ต้องตกใจพวกเขาจะอยู่ในเกือบทุกที่ไม่ว่าจะในสนามบินหรือตามท้องถนน
|